บัว 4 เหล่า คืออะไร มีความหมายอย่างไร

Posted By on November 30, 2012

บัว 4 เหล่า คืออะไร มีความหมายอย่างไร
ภายในโคลนนั่นน่ะ มีความเหม็นสาบเหม็นเน่าสารพัดอย่าง แต่ดอกอุบลทั้งหลายที่เกิดในที่นั้น ยิ่งสวย ยิ่งงาม ยิ่งต้นใหญ่ ลำใหญ่ ดอกใหญ่ โคลนทั้งหลายนั้นเป็นปุ๋ยของมัน
บัวทั้งหลายมันชอบปุ๋ย ติณชาติทั้งหลายชอบปุ๋ย ได้ปุ๋ยแล้วมันงาม ปุ๋ยนั้นเป็นของโสโครก เป็นของสกปรกเป็นของเหม็น กลิ่นสารพัดอย่าง มันจะเหม็นเท่าไรๆ สกปรกเท่าใดๆ บัวมันยิ่งชอบ ดอกมันยิ่งโต ลำมันใหญ่ ยิ่งยาวดอกบัวนั้นก็เปรียบกับจิตของเรา มันจมอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ สารพัดอย่าง อันมันเป็นโคลน ที่เป็นโคลนนี้ ท่านจึงจัดว่า ดอกบัวมันอยู่ในตม ที่มันอยู่ในโคลนนั้นน่ะ ท่านบอกว่า มันเป็นดอกบัวที่เสี่ยงเสี่ยงเพราะอะไร มันอยู่ในโคลนยังไม่มีหวังที่จะพ้นตมมาเลย มันจึงเป็นดอกบัวที่เสี่ยงมากทีเดียว มันเป็นเหตุที่ว่าเต่ามันก็จะกิน ปลามันก็จะกินได้ เพราะมันอยู่ในโคลน

 

จิตใจของเราก็เหมือนกันฉันนั้น ถ้ามันหมกอยู่ใน ราคะ โทสะ โมหะ มันเหมือนอยู่ในโคลน มัจจุราชตามเอาเป็นอาหารหมดละ มันอยู่ในโคลน มันหนาแน่น มันไม่ได้ยิน มันไม่ได้ฟัง มันไม่ได้อบรม มันหนา มันแน่น มันก็ยังมีที่หวังของมันจะเป็นได้หลายอย่าง จะเป็นปุถุชน หรืออันธภาพชนทั้งหลาย เป็นได้หลายอย่าง แล้วแต่จิตของตน อีกคนหนึ่งนั้น อีกจิตหนึ่งนั้น มันจะพ้นตมขึ้นมาแล้ว แต่มันอยู่ในกลางน้ำ ดอกบัวดอกนี้ก็ยังจะเสี่ยงอยู่เหมือนกัน นี่เพราะว่ามันจะเป็นอาหารเต่าหรือปลาอยู่เสมอ ยังไม่พ้น

เหล่าที่ 3 เสมอน้ำ พ้นตมแต่ยังเสมอน้ำ อันนี้ก็ยังเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ยังจะเป็นอาหารของปลา และเต่าอยู่ทั้งนั้นอันนี้มันเกิดความรู้สึกขึ้นมา มีญาณของพระพุทธเจ้าของเราที่ท่านหยั่งซึ้งลงไปว่า สัตว์โลกเป็นอย่างไร เหล่าที่ 4 นี้ เรียกว่า พ้นโคน พ้นตม พ้นน้ำมาจะบานแล้ว บัว 4 เหล่านี้คือ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญูเนยยะ ปทปรมะ นั่นแหละ

พระพุทธเจ้าของเราจึงมาตรัสเสียว่า เออ มันเป็นอย่างนี้อยู่ โลกมันก็ต้องเป็นอย่างนี้อยู่ ไม่ให้มันเป็นอย่างนี้มันก็ไม่เป็นโลก จะต้องทำอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านรู้แจ้งโลกนี้ดี จึงทรงชื่อว่า โลกวิทู ในจิตของท่าน รู้แจ้งโลกว่า มันเป็นอย่างนี้ โลกมันเป็นอย่างนี้ เหมือนบัวในตมในโคลนมันเหม็นสาบ ดอกบัวไปเกิดที่ตรงน้ำ มันโผล่น้ำขึ้นมา มันมีกลิ่นหอมน่าทัศนาดูทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพราะดอกบัวดอกนี้มันเกิดมาจากโคลนสกปรก จิตใจของเราทั้งหลายก็เหมือนกันสัตว์โลกทั้งหลายก็เหมือนกัน มันปกปิดอยู่ด้วยอาสวธรรมทั้งหลายทั้งนั้นแหละ ถึงพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตสาวกก็ดี ก็ต้องเกิดมาจากโคลนอย่างนั้น มีราคะ
โทสะ โมหะปกคลุมอยู่ทั้งนั้นแหละ หุ้มห่ออยู่ทั้งนั้นแหละ แต่พระพุทธองค์ก็พ้นมาได้ สาวกทั้งหลายก็พ้นมาได้ ท่านแยกกันอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่มีอันนั้นเป็นเหตุ ผลมันก็เกิดขึ้นไม่ได้

ห้ามพระฉันเนื้อสัตว์ 10 อย่าง

Posted By on November 27, 2012

ห้ามพระฉันเนื้อสัตว์ 10 อย่าง 

พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อมนุษย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสมีอยู่ เขาสละเนื้อของเขาถวายก็ได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อมนุษย์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย อนึ่ง ภิกษุยังมิได้
พิจารณา ไม่พึงฉันเนื้อ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อช้าง
[๖๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ช้างหลวงล้มลงหลายเชือก สมัยอัตคัตอาหาร ประชาชน
พากันบริโภคเนื้อช้าง และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อช้าง
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉัน
เนื้อช้างเล่า เพราะช้างเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบคงไม่ทรงเลื่อมใสต่อพระสมณะ
เหล่านั้นเป็นแน่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
ห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อช้าง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อม้า
สมัยต่อมา ม้าหลวงตายมาก สมัยอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อม้า และ
ถวายแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อม้า ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อม้าเล่า เพราะม้าเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัว
ทรงทราบ คงไม่เลื่อมใสต่อพระสมณะเหล่านั้นเป็นแน่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
พระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉัน
เนื้อม้า รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อสุนัข
สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อสุนัข และถวายแก่พวก
ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อสุนัข ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อสุนัขเล่า เพราะสุนัขเป็นสัตว์น่าเกลียด น่าชัง
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลาย
ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อสุนัข รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้องู
สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้องู และถวายแก่พวกภิกษุ
ผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้องู ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน
พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้องูเล่า เพราะงูเป็นสัตว์น่าเกลียดน่าชัง แม้พระยานาค
ชื่อสุปัสสะก็เข้าไปในพุทธสำนักถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง
ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า บรรดาที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสมีอยู่
มันคงเบียดเบียนพวกภิกษุจำนวนน้อยบ้าง ของประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระ-
*คุณเจ้าทั้งหลายโปรดกรุณาอย่าฉันเนื้องู ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระยานาคสุปัสสะ
เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นพระยานาคสุปัสสะอันพระผู้มีพระภาค
ทรงให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำ
ประทักษิณกลับไป
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ
แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้องู รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อราชสีห์
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าราชสีห์แล้วบริโภคเนื้อราชสีห์ และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อราชสีห์แล้วอยู่ในป่า ฝูงราชสีห์ฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่นเนื้อ
ราชสีห์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อราชสีห์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือโคร่ง
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือโคร่งแล้วบริโภคเนื้อเสือโคร่งและถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเสือโคร่งแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือโคร่งฆ่าพวกภิกษุเสียเพราะได้กลิ่นเนื้อ
เสือโคร่ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้าม
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือโคร่ง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือเหลือง
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือเหลือง แล้วบริโภคเนื้อเสือเหลืองและถวายแก่พวกภิกษุ
ผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือเหลืองแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือเหลืองฆ่าพวกภิกษุเสีย
เพราะได้กลิ่นเนื้อเสือเหลือง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค
ทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือเหลือง รูปใดฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อหมี
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าหมีแล้วบริโภคเนื้อหมี และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต
พวกภิกษุฉันหมีแล้วอยู่ในป่าเหล่าหมีฆ่าพวกภิกษุเสียเพราะได้กลิ่นเนื้อหมี ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อหมี รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือดาว
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือดาวแล้วบริโภคเนื้อเสือดาว และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือดาวแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือดาวฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่น
เนื้อเสือดาว ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติ
ห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือดาว รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ บรรทัดที่ ๑๓๘๕ – ๑๕๐๘. หน้าที่ ๕๖ – ๖๑.

ประวัติความเป็นมา วันลอยกระทง

Posted By on November 27, 2012

ประวัติความเป็นมา วันลอยกระทง

วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา “มักจะ” ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป

 

ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ “กระทง” จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น

ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า “ลอยโคม” หรือ “ว่าวฮม” หรือ “ว่าวควัน” ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบอลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า “ยี่เป็ง” หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)

- จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า “กระทงสาย”

- จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง

- ภาคอีสานจะตบแต่งเรือแล้วประดับไฟ เป็นรูปต่างๆ เรียกว่า “ไหลเรือไฟ”

- กรุงเทพฯ จะมี งานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว7-10วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง

- ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

ประวัติ

เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3

ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี

ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า “นางนพมาศ”

ความเชื่อเกื่ยวกับวันลอยกระทง

- เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ

- เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย

- เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ

- ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพญามารได้

ที่มา: วิกีพีเดีย สารานุกรมเสรี

การอโหสิกรรมเป็นทานขั้นสูงสุด

Posted By on November 23, 2012

การอโหสิกรรมเป็นทานขั้นสูงสุด

ในบรรดาการให้ทานนั้น ถ้าจัดลำดับผลจากการให้จากน้อยไปมากแล้ว มีลำดับตามนี้

วัตถุทาน ได้บุญน้อยที่สุด
วิหารทาน
ธรรมทาย
อภัยทาน ได้บุญมากที่สุด

 


ความทุกข์สุขในปัจจุบันที่พวกเราประสบอยู่เกิดจากเหตุหลายอย่าง มิได้เกิดจากกรรมแต่ประการเดียว แต่ถ้าเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด พวกเราย่อมผ่านการตายเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน หลวงตาบัวท่านกล่าวว่า ถ้าเขียนบันทึกกรรมลงไปในหน้ากระดาษ จะพบว่าเมื่อนำหน้ากระดาษนั้นมาอ่าน จะอ่านตัวหนังสือที่บันทึกไว้ไม่ออกหรอก เพราะตัวหนังสือที่เขียนบันทึกแต่ละครั้งจะเขียนทับกันแน่นจนเป็นสีดำพืดไปหมด ดังนั้นพวกเราทุกคนต่างเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครต่อใครมามากมาย สะสมกรรมกันไว้นับภพนับชาติไม่ถ้วน หากยอมอโหสิกรรมให้แก่กันได้ ย่อมเกิดผลมหาศาล เหนือกว่าการให้วัตถุทานและวิหารทานที่ทำไว้ในชาตินี้เพียงชาติเดียว เป็นการให้ที่ส่งผลต่อตัวผู้ให้เอง และยังทำให้ผู้อื่นพ้นบ่วงกรรมที่จะต้องสืบต่อกันไปกลับไปกลับมาจนไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เริ่มกรรมนั้นก่อน ซึ่งการให้อภัยทานเป็นการให้โอกาสที่ทำให้พ้นจากบ่วงกรรมนี้เองจึงถือเป็นการให้ทานอย่างสูง

ผมเชื่อว่าเราทั้งหลายเมื่อเกิดมาแล้ว จะต้องเกิดในครอบครัวใดหรือไปทำงานหรือร่วมสังคมกับใคร ย่อมเกิดจากแรงจากผลกรรมในอดีตมิใช่น้อย หากเคยเป็นเจ้าหนี้เมื่อชาติก่อนแล้วยังแค้นใจอยากได้คืน ชาตินี้ก็เกิดมาเพื่อทวงหนี้กันอีก ยิ่งทุกวันนี้พวกเราใช้เวลาที่ทำงานกันมาก ใช้เวลาและทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับที่ทำงานจนมากกว่าให้กับครอบครัวเสียด้วยซ้ำ กรรมในที่ทำงานจึงน่าจะแรงกว่ากรรมอื่น

ผมขอยกธรรมคำสอนที่เกี่ยวข้องกับการอภัยทานหรือการอโหสิกรรมมาให้ศึกษากัน

การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

อภัยทาน คืออย่างไร ?

อภัยทาน ก็คือการยกโทษให้
คือการไม่ถือความผิดหรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ

อภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่นเดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกัน คืออภัยทานหรือการให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ

อันใจที่แจ่มใส กับใจที่มืดมัว ไม่อธิบายก็น่าจะทราบกันอยู่ทุกคนว่าใจแบบไหนที่ยังความสุขให้เกิดขึ้นแก่เจ้าของ ใจแบบไหนที่ยังความทุกข์ให้เกิดขึ้น และใจแบบไหนที่เป็นที่ต้องการ ใจแบบไหนที่ไม่เป็นที่ต้องการเลย

ความจริงนั้น ทุกคนที่สนใจบริหารจิต จะต้องสนใจอบรมจิตให้รู้จักอภัยในความผิดทั้งปวง ไม่ว่าผู้ใดจะทำแก่ตน แม้การให้อภัยจะเป็นการทำได้ไม่ง่ายนัก สำหรับบางคนที่ไม่เคยอบรมมาก่อน แต่ก็สามารถจะทำได้ด้วยการอบรมไปทีละเล็กละน้อย เริ่มแต่ที่ไม่ต้องฝืนใจมากนักไปก่อนในระยะแรก

ตัวอย่างเช่น เวลาขึ้นรถประจำทางที่มีผู้โดยสารคอยขึ้รถอยู่เป็นจำนวนมาก หากจะมีผู้เบียดแย่งขึ้นหน้า ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ถ้าเกิดโกรธขึ้นมาไม่ว่าน้อยหรือมาก ก็ให้ถือเป็นโอกาสอบรมจิตใจให้รู้จักอภัยให้เขาเสีย เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรถือโกรธกันหนักหนา เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกินควรจะอภัยให้กันได้ แต่บางที่ไม่ตั้งใจคิดเอาไว้ก็จะไม่ทันให้อภัยจะเป็นเพียงโกรธแล้วจะหายโกรธไปเอง

โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น

ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของจิต จึงควรมีสติทำความเพียรอบรมจิตให้คุ้นเคยต่อการให้อภัยไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นในผู้ใดเพราะการปฏิบัติล้วงล้ำก้ำเกินเพียงใดก็ตาม พยายามมีสติพิจารณาหาทางให้อภัยทานเกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธจะดับไปเสียเองก่อน

ทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตนเองมากมายนัก ไม่เพียงแต่จะทำให้มีโทสะลดน้อยลงเท่านั้น และเมื่อปล่อยให้ความโกรธดับไปเอง ก็มักหาดับไปหมดสิ้นไม่ เถ้าถ่านคือความผูกโกรธมักจะยังเหลืออยู่ และอาจกระพือความโกรธขึ้นอีกในจิตใจได้ในโอกาสต่อไป

ผู้อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้อภัย แม้จะไม่ได้รับการขอขมา ก็ย่อมอภัยให้ได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการให้อภัยเลย โกรธแล้วก็ให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะไม่อภัยให้ได้ เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน

อันใจนั้นฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างไดก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายก็จะร้าย

ที่มา http://www.excelexperttraining.com/blogs/archives/z000857.php

ทำไมบางคนเกิดมาพิการ

Posted By on November 20, 2012

ทำไมบางคนเกิดมาพิการ

การเกิดเป็นผลของกรรม การเกิดเป็นมนุษย์ต้องเป็นเพราะผลของกรรมที่ดี คือ เป็น

กุศลวิบาก อันเกิดจากเหตุคือการกระทำกุศลกรรมไว้ แต่ในความเป็นจริง กุศลกรรมที่

ทำนั้น มีความแตกต่าง ตามระดับความประณีตของกุศลที่แตกต่างกัน กุศลบางประเภท

มีกำลัง ประกอบด้วยปัญญา เป็นต้น กุศลบางประเภทไม่ประกอบด้วยปัญญาก็มีกำลัง

ประณีตน้อยกว่า กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาและกุศลที่มีเวทนาที่เป็นอุเบกขาและไม่มี

ปัญญา รวมทั้งเป็นสสังขาริกที่มีกำลังอ่อน ก็เป็นกุศลเหมือนกัน แต่เป็นกุศลกรรมที่มี

กำลังอ่อนมาก ดังนั้น เมื่อกุศลกรรมที่มีกำลังอ่อนมากให้ผล ก็สามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้

ครับ แต่เมื่อผลของกุศลกรรมอย่างอ่อนให้ผล ปฏิสนธิจิต เป็นชาติวิบากที่ไม่ประกอบ

ด้วยเหตุ คือ อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก เป็นจิตที่มีกำลังอ่อน ไม่ประกอบด้วยเหตุ

เพราะเกิดจากกุศลกรรมที่มีกำลังอ่อน จึงทำให้เกิดเป็นคนพิการตั้งแต่กำเนิด ผิด

ปกติตั้งแต่กำเนิดครับ เช่น บ้า ใบ้ บอด หนวก หรือพิการทางสมอง เป็นต้นเพราะเกิด

จากผลของกุศลกรรมอย่างอ่อนนำเกิดครับ

อธิบายความผิดปกติ พิการที่เกิดหลังจากเกิดแล้ว

ขณะที่พิการตั้งแต่กำเนิดแต่เกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อนให้ผลใช่

ไหมครับ แต่ในกรณีที่พิการหลังจากเกิดแล้ว เกิดจากอกุศลกรรม ไม่ใช่กุศลกรรมอย่าง

อ่อนนะครับ เกิดจากอกุศลกรรมในอดีต ดวงใดดวงหนึ่งเกิดให้ผล ตัดรอนให้พิการ ผิด

ปกติเกิดขึ้นหลังจากการเกิดครับ

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละคน เป็นแต่ละหนึ่ง   ไม่เหมือนกัน   แต่เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ที่เหมือนกัน

คือ  มีความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม คือ จิต  เจตสิก และ รูป    เสมอกันโดยความเป็น

ธรรม    แต่ที่ต่างกัน คือ  การสะสม  และ ผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว  ที่เกิดมาพิการ

หรือ     ไม่พิการ นั้น กรรมที่ได้กระทำแล้ว  เป็นเครื่องจัดสรร  ไม่มีทำให้เลย  ไม่มีใคร

บังคับให้เป็นอย่างนั้นได้เลย   แต่เป็นไปแล้ว ตามสมควรแก่เหตุ คือ กรรม ที่ได้กระทำ

แล้ว   เป็นนั่นเอง

การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น  เป็นวิบากจิต  เป็นผลของกรรม        ขึ้นอยู่กับว่าจะ

เป็นผลของกรรมประเภทใด ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม    ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิอย่าง

เดียว, แต่ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ    ตามสมควรแก่กรรม  ทั้งที่

ประกอบด้วยเหตุ ๓ หรือ เหตุ    ๒  หรือไม่ประกอบด้วยเหตุใด ๆ เลย      การเกิดเป็น

มนุษย์ผู้พิการบ้าบอดหนวกตั้งแต่กำเนิด(ผิดปกติตั้งแต่เกิด)เป็นผลของกุศลที่มีกำลัง

อ่อน  เช่น มหากุศลดวงที่ ๘    ไม่ประกอบด้วยปัญญา        มีเวทนาเป็นอุเบกขา เป็น

จิตที่มีกำลังอ่อน        มหากุศลดวงนี้เวลาจะให้ผล    ก็จะไม่ให้ผลเป็นอกุศลวิบากเลย

เพราะเป็นไปไม่ได้ที่กุศลกรรมจะให้ผลเป็นอกุศลวิบาก        แต่จะให้ผลเป็นกุศลวิบาก

ประเภทที่เป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก           อันเป็นผลมาจากเหตุคือกุศลที่มีกำลัง

อ่อน    ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ผู้พิการบ้าบอดหนวกตั้งแต่กำเนิด    ซึ่งจะแตกต่างจากผล

ของอกุศลกรรม  ที่ทำให้เกิดในอบายภูมิ เท่านั้น           แต่ถ้าเป็นผู้ผิดปกติหลังจากที่

เกิดแล้ว  นั้น เป็นผลของอกุศลกรรม   ซึ่งเหตุย่อมสมควรแก่ผล   เพราะการให้ผลของ

กรรม นั้น  ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริง ๆ

ถึงแม้ว่าผู้กระทำอกุศลกรรม    จะลืมไปแล้วว่าตนเองได้กระทำอะไรไว้บ้างทั้งในชาตินี้

และในชาติก่อน ๆ    แต่กรรมไม่ลืมที่จะให้ผล     ถ้าไม่มีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว

ผลที่จะเกิดย่อมมีไม่ได้     แต่เพราะมีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำแล้ว       เมื่อได้โอกาสที่

กรรมจะให้ผล     ผลจึงเกิดขึ้น

ดังนั้น  ควรที่จะได้พิจารณาว่า  เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้ในขณะต่อไป ขณะที่ยัง

มีชีวิตอยู่  ควรที่จะได้สะสมความดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ ต่อไป  เพราะความดี เท่า

นั้น ที่จะเป็นเหตุให้ได้รับผลที่ดี  ไม่ใช่ อกุศลกรรม   เพราะอกุศลกรรม  ให้ผลเป็นทุกข์

โดยส่วนเดียว    ครับ.

 

ที่มา http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=19771

เเนะนำเวปไซต์น่าสนใจเกี่ยวกับประเพณีไทย

Posted By on November 16, 2012

เเนะนำเวปไซต์น่าสนใจเกี่ยวกับประเพณีไทย

รวมบทความเวปน่าสนใจครับ ความรู้ทั้งนั้นครับพี่น้อง
เกี่ยวกับสุขภาพ

ไม่ว่าคุณจะวุ่นวายแค่ไหน ก็อย่าให้เขาพลาดมื้อเช้า เพราะการกินมื้อเช้าช่วยลดความเสี่ยงสุขภาพไปได้เยอะ ทั้งเรื่องหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และอัลไซเมอร์ ลองดัดแปลงอาหารเช้าทำง่าย ๆ ได้สุขภาพมาแทน เช่น แซนวิชทูน่า หรือปลากะพงอบ ไข่คนใส่มะเขือเทศ ฯลฯ หากไม่มีเวลามาก คุณอาจซื้ออาหาร หรือทำเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน เช่น อบปลาแซลมอนหรือปลากะพงเพื่อเป็นไส้แซนด์วิช  ต้มซุปไก่ใส่มันฝรั่งแล้วเก็บเข้าตู้เย็น ก่อนกินมื้อเช้าก็นำมาอุ่นกินได้ทันที เริ่มต้นวันอย่างดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วจริงไหม

http://finehealthfit.exteen.com/
http://healthtakeprofit.blogspot.com/
http://healthfittoday.orgfree.com/
http://healthlowcost.orgfree.com

เกี่ยวกับการทำเงิน

refund : money that the government gives back to you when you pay too much in taxes, or have withheld too much from your salary.

หมายถึง เงินคืนภาษี ซึ่งเกิดจากการคำนวณภาษีในรอบสุดท้ายของปีภาษีนั้นแล้วพบว่า ภาษีที่เราได้เสียหรือถูกหัก ณ ที่จ่ายจากเงินเดือนในระหว่างปีนั้นสูงกว่าข้อกำหนด ซึ่งทางสรรพากรก็จะต้องทำการคืนเงินในส่วนต่างนั้นให้เรา

http://freelifemoney.orgfree.com
http://makeupmoney.orgfree.com
http://makemoneytoday.exteen.com/
http://makemybusinessthai.blogspot.com/

เกี่ยวกับสมุนไพรไทย

จากวันเวลาอันยาวนานที่ได้ผ่านมาในการทำธุรกิจสิ่งที่ทุกคนในตระกูลเวชพงศายึดมั่นตลอดมาคือคำสั่งสอนของ อากง (นายอิ้วเจีย) ที่ว่าอาชีพค้ายานั้นเป็นกิจการที่ช่วยให้เลี้ยงตัวและครอบครัวได้อย่างพอกินพอใช้ เปรียบเหมือนน้ำซึมบ่อทราย แต่อย่าหวังร่ำรวยมากมาย ข้อสำคัญต้องมีความซื่อสัตย์และจริยธรรมเป็นที่ตั้ง ผู้ที่มาหาซื้อยาไปรักษาโรคนั้นก็มีความทุกข์ยากอยู่แล้ว อย่าซ้ำเติมโดยการค้ายาปลอมหรือหากำไรเกินควรจากคนเหล่านั้นเลย

http://yathailand.exteen.com/
http://samunpihealth.blogspot.com/
http://samunpithai.orgfree.com/
http://lookafteryourself.orgfree.com/
http://yathai.orgfree.com

เกี่ยวกับรถยนต์ รถรุ่นใหม่ ปัญหารถยนต์ครับ

หน้าที่หลัก 4 ประการของยางรถยนต์
1. รับน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุก
2. ลดแรงกระแทกและสั่นสะเทือนจากพื้นถนน
3. เป็นตัวกลางถ่ายทอดพลังงานขับเคลื่อน และการหยุดรถลงสู่พื้นผิวถนน
4. ทำให้รถเปลี่ยนทิศทางได้ตามความประสงค์

http://knowhowmotor.orgfree.com
http://motorthai.orgfree.com
http://knownewsmotor.orgfree.com/
http://carthaithai.exteen.com/
http://knowcarnews.blogspot.com/

เวปทั่วๆไปน่าสนใจ

คอมพิวเตอร์ IT tablet os
http://computernews.orgfree.com/

เกี่ยวกับมือถือรุ่นใหม่ล่าสุด
http://thaiphone5.orgfree.com/

ขนมหวานไทย
http://kanomvanthai.orgfree.com/

ประเพณีไทย
http://papaneethaibolan.orgfree.com/

การเงินการลงทุน
http://valueinvestor.orgfree.com/

ประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ

Posted By on November 8, 2012

ประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ

ประวัติความเป็นมา เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทง เริ่มมีมาแต่ สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าว ศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่า พิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีปและนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสอง มาใช้ใส่เทียนประ ทีป แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอน ต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของ ไทย ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า “นางนพมาศ” ประเพณีลอยกระทงนั้นมีมาแต่โบราณ โดยมีคติความเชื่อหลายอย่าง เช่น เชื่อว่าเป็นการบูชาและขอขมา แม่พระคงคาเป็นการสะเดาะเคราะห์ เป็น การบูชาพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์ หรือเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท เป็นต้น การลอยกระทงนิยมทำกัน ในวันเพ็ญเดือน 12 ของทุกๆ ปี อันเป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำลำคลองขึ้นสูง

ความเชื่อเกี่ยวกับวันลอยกระทง

เป็นการขอขมาพระแม่คงคาที่มนุษย์ได้ใช้น้ำได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่ น้ำ
เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมม ทานที ในประเทศอินเดีย
เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่าพระอุป คุตทรงสามารถปราบพระยามารได้
ประวัติความเป็นมาประเพณีลอยกระทง

ลอยกระทง (Loi Krathong Day) เป็นประเพณีของไทยที่ปฏิบัติสืบ ต่อกันมาแต่โบราณ งานลอยกระทง เริ่มทำตั้งแต่ กลางเดือน 11 ถึง กลางเดือน 12 ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลาก น้ำจะเต็มสองฝั่งแม่น้ำ ที่นิยมมาก คือ ช่วงวันเพ็ญเดือน 12 เพราะพระจันทร์เต็มดวง ทำให้แม่น้ำใสสะ อาดแสงจันทร์ส่องเวลากลางคืนเป็น บรรยากาศที่สวยงาม เหมาะแก่ การลอยกระทง

เดิมพิธีลอยกระทง เรียกว่า พระราชพิธีจองเปรียงชักโคมลอยโคม ซึ่ง เป็นพิธีของพราหมณ์เพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระ นารายณ์ และพระพรหม ครั้นคนไทยรับนับถือพระพุทธศาสนา ก็ทำพิธียกโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณี ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลอยโคมบูชาพระพุทธบาท ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ประเทศอิน เดีย

ปัจจุบันประเพณีลอยกระทง มีการจัดงานกันแทบทุกจังหวัด ถือเป็นงานประจำปีที่สำคัญ โดยเฉพาะ ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีการจัดขบวนแห่กระทงใหญ่ กระทงเล็ก มีการประกวดกระทง และประกวดธิดางาม ประ จำกระทงด้วย

การลอยกระทงในปัจจุบัน ยังคงรักษารูปแบบเดิมเอาไว้ได้ตามสมควร เมื่อถึงวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ในเดือน 12 ชาวบ้านจะจัดเตรียมทำกระทงจากวัสดุที่หาง่ายตามธรรมชาติ เช่น หยวกกล้วยและดอกบัว นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงสวยงาม ปักธูปเทียนและดอกไม้เครื่องสักการบูชา ก่อนทำการลอยในแม่น้ำก็จะ อธิษฐานในสิ่งที่มุ่งหวัง พร้อมขอขมาต่อพระแม่คงคาตามคุ้มวัดหรือสถานที่จัดงานหลายแห่ง มีการประกวด กระทง ประกวดนางนพมาศ และมีมหรสพสมโภชในตอนกลางคืน นอกจากนั้นยังมีการจุดดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล ซึ่งในการเล่นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ วัสดุที่นำมาใช้กระทงควรเป็นของที่สามารถย่อยสลายได้ง่าย ตามธรรมชาติ

ขั้นตอนการหล่อพระพุทธรูป

Posted By on October 28, 2012

พระพุทธรูป พุทธศิลป์สูงค่า สัญลักษณ์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราชาวพุทธทุกคนกราบไหว้บูชา เป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม 

เกี่ยวกับความเป็นมาของการกำเนิดพระพุทธรูปนั้น ได้มีการค้นพบหลักฐานเป็นศิลปะวัตถุโบราณ ณ ประเทศอินเดีย สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งพระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากจนถึงกับยกเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีพระพุทธรูปที่จะใช้เป็นที่เคารพบูชา มีเพียงปูชนียวัตถุที่สร้างไว้เพื่อสักการะแทน เช่น พระธรรมจักรและกวางหมอบ เป็นต้น

ต่อมาภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วจึงได้มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นโดยในครั้งแรกนั้นเป็นฝีมือของช่างชาวกรีก ซึ่งเป็นชนชาติที่เข้ามายึดครองอินเดีย จากการล่าอาณานิคมของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ชาวกรีกเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างผลงานด้านปฏิมากรรมเป็นรูปเทพเจ้าต่างๆ เมื่อมาอยู่ในอินเดียเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงสร้างพระพุทธรูปที่เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ขึ้นมาเพื่อสักการะบูชา

การสร้างพระพุทธรูปมี 2 ขนาด คือ พระพุทธรูปขนาดใหญ่ และพระพุทธรูปขนาดเล็ก พระพุทธรูปที่มีขนาดหน้าตัก 20 นิ้วขึ้นไป จัดว่าเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ โดยมากสร้างไว้เป็นพระประธานในโบสถ์หรือวิหาร แต่กว่าจะออกมาเป็นพระพุทธรูปหนึ่งองค์ให้เราบูชาต้องใช้เวลานานเป็นเดือนเป็นปี เหตุนี้เองช่างทำพระหรือที่เรียกว่าช่างหล่อ จึงต้องเป็นคนที่มีใจรักในงานและมีความอดทนสูง

ด้วยความสลับซับซ้อนของขั้นตอนที่มีมากมายหลากหลาย งานหล่อพระพุทธรูปจึงเป็นปฏิมากรรมที่รวมเอาช่างฝีมือในหมวดช่างสิบหมู่ไว้แทบทุกแขนง ทั้งช่างปั้น ช่างหล่อหรือช่างเททอง ช่างขัดและช่างลงรักปิดทอง โดยมีลำดับการสร้างพระพุทธรูปเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. ขั้นตอนการปั้นหุ่น

ช่างปั้นโบราณจะใช้ดินเหนียวคุณภาพดีมีสีเหลืองเรียกว่า “ดินขี้งูเหลือม” นวดผสมกับทรายละเอียด โดยการเหยียบให้เข้ากัน จากนั้นจึงเริ่มปั้นส่วนต่างๆ ขึ้นมาเป็นองค์พระ ถ้าเป็นการปั้นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ อาจต้องปั้นส่วนต่างๆ ของพระวรกายแยกกัน เช่น นิ้วพระหัตถ์ นิ้วพระบาท พระกรรณ รัศมี และเม็ดพระศก แล้วจึงนำมาประกอบกันในภายหลัง แล้วตกแต่งองค์พระทั้งด้านนอกและแกนในให้ได้สัดส่วนสวยงามเกลี้ยงเกลาตามศิลปะสมัยนิยม
เมื่อปั้นหุ่นหรือพิมพ์ได้รูปแล้วก็มาถึงขั้นตอน การเข้าขี้ผึ้ง นับเป็นงานฝีมืออีกอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญอย่างมาก (ขี้ผึ้งทำมาจากรังผึ้งที่ต้มเคี่ยวจนนิ่มติดมือ แล้วนำไปผสมกับยางชันกรองด้วยผ้าขาวบางจนได้เนื้อขี้ผึ้งละเอียด) แช่พิมพ์ในน้ำสักพัก จากนั้นทาดินเหนียวบางๆ ทั้งสองด้านของพิมพ์เพื่อเคลือบให้ผิวดินและทรายเป็นเนื้อเดียวกัน กรอกขี้ผึ้งลงไปในพิมพ์ให้เต็มแล้วเทออกใส่อ่างน้ำ ในกระบวนการนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากความร้อนจากขี้ผึ้งหลอมละลายมีอานุภาพทำให้มือและนิ้วแดงพองได้ ปั้นขี้ผึ้งที่เทลงอ่างเป็นแท่งกลมยัดลงพิมพ์ให้แน่นที่สุด ใช้มีดเฉือนขี้ผึ้งส่วนเกินออก แช่พิมพ์ลงในน้ำสักพักก็สามารถแกะแบบพระพิมพ์ขี้ผึ้งออกมาได้ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ จะใช้วิธีตีลาย คือนำขี้ผึ้งวางบนลายพิมพ์แล้วใช้ไม้รวกบดขี้ผึ้งจนเป็นลายตัดออกมาประกอบกับองค์พระ

ก่อนนำไปหล่อต้องทามูลวัวลงบนหุ่นพระขี้ผึ้งเสียก่อน เพื่อให้เนื้อของแบบพิมพ์เรียบสนิท ที่สำคัญคือช่วยรักษาความชัดเจนของรูปร่างและลวดลายขององค์พระไว้อย่างดีด้วย (ส่วนผสมที่เรียกว่ามูลวัว คือ การนำมูลวัวสดๆ มาคั้นเอาแต่น้ำ กรองด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นนำมาผสมกับดินนวล) ทามูลวัวลงบนหุ่นพระขี้ผึ้งซ้ำไปซ้ำมา 3 ชั้น ตอกทอยเข้าไปในหุ่นเพื่อรับน้ำหนักให้สมดุลกัน (ทอยส่วนใหญ่มักทำด้วยเหล็ก) หุ่นที่ทามูลวัวเมื่อแห้งดีแล้วนำมาพอกด้วยดินเหนียวผสมทรายให้ทั่วอีกรอบ ก่อนนำออกผึ่งลมหรือตากแดดให้แห้งสนิท

กรรมวิธีต่อไป คือ การเข้าลวด ขั้นตอนนี้เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญเพราะลวดที่พันรอบหุ่นคือเกราะป้องกันการแตกตัวของดินเมื่อได้รับความร้อน หุ่นพระจะเสียหายและอาจต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่หากดินแตก เมื่อผูกเหล็กเรียบร้อยแล้ว นำดินเหนียวพอกทับแม่พิมพ์อีกครั้งให้มิดลวด ขั้นตอนนี้เรียกว่า ทับปลอก จากนั้นจึงปั้นปากจอกหรือชนวนปิดบริเวณปากทางที่จะเททอง

2. ขั้นตอนการหล่อพระพุทธรูป

ภาษาช่างเรียกขั้นตอนการหล่อพระพุทธรูปว่า “การเททอง” หมายถึง การสุมทองหรือหลอมโลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง ทองสัมฤทธิ์ ให้ละลายเป็นของเหลวแล้วเทโลหะหรือทองนั้นลงในแม่พิมพ์ การหลอมโลหะนับเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเวลาและความอดทน โดยเฉพาะทองแดงต้องใช้เวลาหลอมละลายไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง การหล่อพระนิยมใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงเผาหุ่นและใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิงในการหลอมโลหะ ก่อนเททองต้องทำการสุมไฟหุ่นให้ร้อนจัดเพื่อสำรอกขี้ผึ้งที่ปั้นเป็นหุ่นอยู่ภายในหลอมละลายไหลออกมาจากแม่พิมพ์ทางช่องชนวนจนหมด และเผาแม่พิมพ์ต่อไปจนสุกพร้อมที่จะเททองหล่อพระได้

การหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ต้องทำนั่งร้านสำหรับเททอง พระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่หรือมีความสูงมากๆ จะใช้วิธีหล่อเป็นสองท่อนแล้วนำมาประกบกัน เมื่อเผาแม่พิมพ์ได้ที่ขณะเดียวกับทองที่หลอมในเบ้าละลายดีแล้ว ก็เตรียมยกเบ้าทองไปเทลงในแม่พิมพ์ได้เลย การเททองต้องเทติดต่อกันมิฉะนั้นจะไม่ต่อเป็นเนื้อเดียว

ภายหลังการเททองเสร็จแล้วต้องปล่อยให้ทองในแม่พิมพ์เย็นตัวจึงจะจัดการทุบแม่พิมพ์ดินออกได้ รื้อแก้ลวดที่รัดแม่พิมพ์ออกให้หมด ถอนหรือตัดทอยออกแล้วใช้ตะไบหยาบขัดให้ทั่วทุกมุม พระพุทธรูปสำเร็จก็จะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด

3. ขั้นตอนการขัดแต่งพระพุทธรูป

พระพุทธรูปเมื่อทุบแม่พิมพ์ออกแล้วผิวพื้นขององค์พระจะไม่เรียบ มีคราบเผาไหม้ปรากฏอยู่โดยทั่ว ดังนั้น เมื่อทำการหล่อแล้วจึงต้องมีการขัดแต่งผิวให้มันเงา ขั้นตอนการขัดมันในปัจจุบันนิยมใช้เครื่องขัดกดจี้กับองค์พระจนผิวเรียบเกลี้ยง จากนั้นเปลี่ยนผ้าขัดเงาให้เป็นผ้าที่มีความนิ่มปุยขัดต่อโดยใช้ยาขัดเงาสีแดงเป็นตัวเพิ่มความแวววาว จากนั้นจึงลงรักปิดทองด้วยการนำองค์พระล้างน้ำให้สะอาดก่อนลงรัก ใช้น้ำรักผสมสมุกบดให้เข้ากันจนข้นแข็งไม่ติดมือ นำน้ำรักมาเกลี่ยให้ทั่วองค์พระปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-20 วัน

เมื่อรักแห้งสนิทขัดอีกครั้งด้วยกระดาษทรายลบสันคมและรอยคลื่นออกให้เกลี้ยงเกลา ล้างน้ำให้สะอาดทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อองค์พระแห้งแล้วใช้แปรงจุ่มลงทาให้ทั่ว ผึ่งลมรอจนแห้งแล้วใช้น้ำรักทาทับอีกครั้ง คลุมองค์พระด้วยผ้าชุบน้ำทิ้งไว้ประมาณ 10 ชั่วโมง แล้วเปิดออกดู เมื่อน้ำรักไม่ติดมือก็ถือว่าใช้ได้ ปิดทองแล้วเกลี่ยให้ทั่วตลอดองค์ เมื่อเสร็จสมบูรณ์ก็มาถึงพิธีการเบิกพระเนตร สำหรับตาดำนิยมใช้นิลดำทำเป็นรูปทรงไข่ ตาขาวใช้เปลือกหอยมุกไฟ ปอกเปลือกนอกออก แต่งด้วยตะไบแล้วนำไปติดโดยใช้น้ำรักผสมสมุก (ใบตองแห้งเผาแล้วนำมาร่อนจนละเอียด) ตาหนึ่งข้างจะติดที่หัวตา 1 อัน และหางตาอีก 1 อัน ขณะใส่ตานิลต้องท่องคาถาคำว่า “ทิพจักขุ จักขุ ปะถัง อาคุจฉาติ” เป็นอันเสร็จพิธีการปั้นและหล่อพระพุทธรูป

ที่มาข้อมูล : www.aksorn.com

พิธีการบวชต้นไม้

Posted By on October 21, 2012

ประวัติ

พระครูมานัสนทีพิทักษ์ เจ้าคณะอำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ได้คิดพิธีบวชต้นไม้ขึ้น เพื่อต้องการยับยั้งการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าและเพื่อเป็นกุศโลบายห้ามมิให้คนตัดไม้ทำลายป่า เพราะคนไทยเป็นชาวพุทธที่นับถือพระ ซึ่งต้นไม้ต้นใดที่ผ่านการบวชแล้ว ชาวบ้านจะไม่ตัดเด็ดขาด เจ้าคณะอำเภอแม่ใจจึงได้นำพิธีบวชต้นไม้มาดำเนินการ เพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า โดยเฉพาะป่าบริเวณต้นน้ำลำธาร ซึ่งพิธีกรรมดังกล่าว ได้เผยแพร่ไปสู่สาธารณชน อย่างไรก็ตามชาวอำเภอแม่ใจก็ตระหนักและมีความเชื่อว่า พญาต้นไม้ที่ผ่านพิธีกรรมการบวชแล้ว จะคุ้มครองรักษาต้นไม้ต่าง ๆ ในบริเวณนั้น ซึ่งจะมีผลทำให้น้ำไม่แห้ง ฝนตกต้องตามฤดูกาล ถือเป็นการยับยั้งการทำลายธรรมชาติและช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งรักษาป่าไม้ที่เป็นต้นน้ำลำธารให้อุดมสมบูรณ์ และที่สำคัญคือ สร้างความสำนึกให้แก่ชุมชนในการดูแลรักษาสภาพธรรมชาติ

พิธีการบวชต้นไม้

พิธีการบวชต้นไม้ จะเริ่มตั้งแต่การสำรวจต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่และเกรงว่าน่าจะถูกลักลอบตัดซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพญาไม้ จากนั้นชักชวนชาวบ้านให้ร่วมมือกันจัดเตรียมเครื่องเซ่นสังเวยเจ้าป่าเจ้าเขา เครื่องสังเวยจะประกอบด้วย

  • ข้าวเหนียวสุก 1 ปั้น
  • กล้วยสุก 1 ลูก
  • หมากคำ พลูใบ
  • ผ้าเหลืองตามจำนวนต้นไม้
  • ด้านสายสิญจน์
  • บาตรน้ำมนต์
  • น้ำขมิ้นส้มป่อย

จากนั้นก็สร้างศาลเพียงตาสำหรับอัญเชิญรุกขเทวดามาคอยปกปักรักษาต้นไม้ แล้วทำพิธีไหว้แม่พระธรณี ใช้หมากพลูตามธรรมเนียมทางเหนือ สำหรับการบวชต้นไม้ จะมีผ้าเหลือง (สุดแล้วแต่ว่าจะบวชต้นไม้กี่ต้น) ด้ายสายสิญจน์ บาตรน้ำมนต์และส้มป่อยจากนั้นโยงด้ายสายสิญจน์ไปตามต้นไม้ในบริเวณป่า แล้วโยงมายังสถานที่ทำพิธี ซึ่งจะมีพระพุทธรูปตั้งเป็นประธานมีพระสงฆ์และอาจารย์ (หมอเวทมนตร์) ทำพิธีเชิญเทวดาอารักษ์ ผีป่า ผีเขา (ผีป๊กกะโล้ง) ทำพิธีเซ่นสังเวยเทพารักษ์ เจ้าป่าเจ้าเขา ให้รับรู้และให้มาอยู่ในป่าไม้ ดูแลต้นไม้ หากมีผู้ใดมาตัดไม้ ทำลายป่า ขอให้ผู้นั้นมีอันเป็นไปต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของหมอเวทมนตร์ที่จะนำมากล่าวเมื่อเสร็จพิธีเซ่นสังเวยแล้ว ก็เป็นพิธีสงฆ์ เริ่มจากไหว้พระรัตนตรัย สมาทานศีลอาราธนาพระปริตรพระสงฆ์เจิมต้นไม้ เสร็จแล้วพระสงฆ์ จะห่มผ้าเหลืองให้ต้นไม้ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา จากนั้นประพรมน้ำพระพุทธมนต์ตามต้นไม้ที่บวชไว้ เป็นเสร็จพิธี

โกงบ้านโกงเมืองตายเเล้วไปไหน

Posted By on October 5, 2012

โกงบ้านโกงเมืองตายเเล้วไหน

บทความจากเวปhttp://atcloud.com/discussions/47976

อันนี้ใครจะวิจารย์จะพูดอะไรก็ได้นะคับเพราะหลวงตาแกพูดิย่างนี้จริงๆ

“หลวงตาบัว” ย้ำไม่เคยเล่นการเมืองแต่พูดความจริง สลดสังเวชรัฐบาลเผาบ้านเผาเมือง-ยึดอำนาจทุกหน่วยงานทั้งทหาร ตำรวจ และตุลาการหวังเปลี่ยนเป็น“ประธานาธิบดี” กดหัวคนทั้งชาติ เตือนทำบาปมหันต์ระวังมีจุดจบเหมือน “เทวทัต” ที่แข่งบุญพระพุทธเจ้าแล้วถูกธรณีสูบ ระบุเคยช่วยเหลือ “ทักษิณ” เต็มเหนี่ยวหวังให้มากอบกู้บ้านเมือง แต่พอเป็นนายกฯก็เปลี่ยนไปเป็นคนลุแก่อำนาจ เห็นแก่พวกพ้อง ท้าพูดผิดเอาไป “ตัดหัว” ได้เลย

วันนี้ (27 ก.ย.) พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด ตำหนิรัฐบาลว่ากำลังมีความพยายามใช้วิธีการป่าเถื่อนต่างๆ นานา ยึดอำนาจจากทุกหน่วยงานเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประธานาธิบดี เพื่อมาบังคับคนทั้งชาติ

“ถ้าพูดภาษาโลกก็ว่าเราแค้นที่สุดเลย แค้นให้รัฐบาลชุดนี้ ไม่เคยมี รัฐบาลตั้งมากี่ชุดๆ ก็หากมีเป็นธรรมดาๆ เรียกว่าพอทนได้ๆ อันนี้ไม่ทราบว่าจะทนได้หรือไม่ได้ ออกแง่ไหนๆ มีแต่เรื่องเหยียบหัวประชาชนๆ และกินตับกินปอดประชาชน กวาดเข้าพุงของตัวเองๆ ในวงนี้ อย่างน้อยเรียกว่าส้วมใหญ่ถานใหญ่ มากกว่านั้นเรียกว่านรกอเวจีอยู่ในนั้นเลย เราเห็นแล้วสลดสังเวช

มีคนฟ้องร้องมาว่า นายกฯทักษิณ กับนายวิษณุ และกับอีกสองคนเราจำไม่ได้ นี้คือตัวยักษ์ใหญ่ ตัวอำนาจใหญ่ อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ จะกินบ้านกินเมืองกัดตับกัดปอด มุ่งใส่ประธานาธิบดี ว่างั้นนะ เกิดมาไม่เคยมีประธานาธิบดี เมืองไทยเราครอบครองกันมาด้วยความสงบร่มเย็น นี่ละมันจะเอาไฟเผาบ้านเผาเมืองเวลานี้ มันไม่ยอมฟังเสียงเลยนะ ยึดอำนาจบาตรหลวงไปทุกซอกทุกมุม วงราชการต่างๆ เจ้าอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ นี้เข้าไปยึดอำนาจๆ ไว้หมดในวงราชการ ตีออกไปหาตำรวจ ทหาร ให้เป็นเจ้าอำนาจๆ มาบีบบังคับคนทั้งชาติ

นี่เราทราบมาเต็มหูเต็มตาเต็มใจของเรานะที่เรามาพูดนี่น่ะ มันออกทุกแง่ทุกมุมเลย ป่าๆ เถื่อนๆ นี่น่ะ มีตั้งแต่สิ่งที่จะเผาเป็นฟืนเป็นไฟ มุ่งหน้าต่อประธานาธิบดีชัดเจนแล้วเดี๋ยวนี้ เราทนไม่ไหวถ้าว่าทน แต่เราก็ไม่คิดว่าจะทน เราก็ฟังไปๆ ทุกอย่าง เพราะพูดง่ายๆ เราไม่ได้อยู่ในโลกสกปรกนี้ การมาเทศน์สอนธรรมนี้ เราเอาธรรมที่สะอาดจ้าสาดลงมาๆ แล้วมันยังหาว่าเรามาเล่นการบ้านการเมือง การบ้านการเมืองมูตรคูถใครจะไปเล่นกับมัน ให้มันเล่นแต่พวกมัน เข้าใจไหมล่ะ

เราสลดสังเวชนะรัฐบาลชุดนี้ เฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีเราช่วยเต็มเหนี่ยว เพื่อจะยกท่านผู้นี้ว่าจะเป็นคนดิบคนดี จะยกชาติไทยขึ้น เราช่วยเต็มกำลังความสามารถ เพราะเราหาคนดีมันหาไม่ได้ หาเจอตรงไหนๆ มีแต่ยักษ์แต่ผีจะกินบ้านกินเมือง ประชาชนนอนตาไม่หลับ ความทุกข์ยากลำบากเป็นฟืนเป็นไฟเผาในใจ เราจึงพยายามยกนี้ให้เป็นนายกฯ บรรดาประชาชนทั้งหลายเขาก็พร้อมหน้าด้วย ต่างคนต่างพร้อมหน้ากันยกให้เป็นนายกฯ ขึ้นมาเห็นไหม

ครั้นเป็นนายกฯขึ้นมานี้แล้ว มันไม่ได้หันหน้ามามองดูอาจารย์มันเลย อาจารย์มันอีตาบัว หลวงตาบัว มันมองหาตั้งแต่ก๊กแต่เหล่า แต่พรรคแต่พวกที่จะยึดอำนาจ กวาดเอาสมบัติเงินทองมาเป็นเศรษฐี เลยมหาเศรษฐีเข้าไปอีก แล้วมันก็ตายกองกันอยู่ในสมบัตินั่นแหละไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นเราสลดสังเวช

เห็นไหมเวลานี้เกณฑ์ตำรวจเกณฑ์ทหารให้อยู่ในเงื้อมมือของตนๆ ตำรวจทหารแต่ละคนๆ เขามีพ่อมีแม่ พ่อแม่เขาอยู่ในที่ต่างๆ เมื่อพ่อแม่มีความเดือดร้อนวุ่นวาย ทหารยังมีแก่หน้าแก่ตามาเหยียบหัวพ่อหัวแม่อยู่เหรอ เราอยากเอาปัญหานี้ไปถามตำรวจถามทหาร แล้วย่นเข้าไปถามตัวใหญ่ๆ โตๆ บังคับเขาหาอะไร อยากว่าอย่างนั้นนะ เป็นรัฐบาลมาเขาไม่ได้เป็นรัฐบาลที่จะมาเหยียบบังคับอย่างนี้

“เอาหัวหลวงตาบัวไปตัดเลยถ้าหลวงตาบัวพูดผิด นี่ได้พินิจพิจารณามาโดยตลอดตั้งแต่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย ที่ผู้ได้รับความทุกข์ความลำบาก ส่วนคนชั่วมันไม่มาหาเราแหละ คนดีเขาก็ต้องวิ่งมาพึ่งครูบาอาจารย์”

เวลานี้ก็เตือนรัฐบาล เพราะรัฐบาลจะพาคนทั้งประเทศนี้ผิด เพราะอาจเอื้อมเอาเหลือเกินจะเป็นประธานาธิบดี ไม่บอกมาก็ตาม เรื่องชัดเจนๆ มาแล้วบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศไทยไม่ใช่คนหูหนวกตาบอด เขารู้เหมือนกัน ทำไมจะไปเก่งตั้งแต่คุณทักษิณกับวิษณุนี้อย่างเดียว กับคนในวงนี้ มันเก่งแบบไหน ไปเรียนวิชามาแบบไหน วิชาแบบนี้ในเมืองไทยเราไม่เคยมี คนสองสามสี่คนอยู่ในวงรัฐบาลนี้ไม่มีป่าช้าเหรอ ถามดูซิน่ะ เวลาตายแล้วก็จะถูกเผาไฟเหมือนกัน แต่เมืองไทยเขานิยมพระไป กุสลา ธมฺมา ถ้าหากว่าไม่แก้ตัวแล้วอย่ามานิมนต์หลวงตาบัวไป

เราฟังซอกแซกซิกแซ็ก เข้าไปบังคับบัญชาไว้หมดนะ พวกหน่วยราชการต่างๆ พวกตัวเปรตนี่ละมันเอาอำนาจบาตรหลวงแทรกเข้าไปให้มาบังคับบัญชา ศาลไม่เป็นศาล สภาอะไรไม่เป็นทั้งนั้น ที่เป็นที่เคารพนับถือมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เช่น สภาหรือศาลเหล่านี้ ศาลนี่เป็นสำคัญมาก มันเข้าไปเหยียบหัวศาลเอาไว้นะ บังคับศาลไม่ให้ตอบหรือตัดสินความตามความยุติธรรมที่โลกเขาต้องการ ให้ตัดสินตามมันเลย ตามเปรตสามสี่ตัวอยู่ในวงรัฐบาลนี่ วงรัฐบาลนี้คือเปรต คือยักษ์ คือมหาภัย อยู่ในรัฐบาลนี่ ให้คิดเสียนะ ถ้าว่าหลวงตาบัวเป็นภัยต่อรัฐบาล เอาๆ คอหลวงตาบัวไปตัด ถ้าเป็นภัยเพราะพูดผิดนี่น่ะ

คำว่าเทวทัตแทรกธรรม เทวทัตทำลายพระพุทธเจ้า นี้ก็กำลังเข้ามา เทวทัตยังรู้โทษ เทวทัตเป็นข้าศึกศัตรูต่อพระพุทธเจ้า เวลาพระเทวทัตแยกตัวออกไปเป็นศาสดาองค์เอกขึ้นมาแข่งพระพุทธเจ้า เขามาบอก พระอานนท์ก็นำมาทูล บอกว่า เวลานี้พระเทวทัตแยกตัวจากพระองค์แล้วไปเป็นศาสดาองค์ใหม่แทนพระองค์ หรือจะว่าแข่งพระองค์ก็ได้ พอพระองค์รับทราบแล้วก็ว่า เอ๊อ ภาษิตนี้เราก็ไม่ลืม เพราะเป็นภาษิตที่สะดุดใจอย่างแรงกล้า ที่พระเทวทัตไปทำลายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงปลงธรรมสังเวช เออ ท่านว่างั้น

พระเทวทัตยังดีนะ กลับมาถวายคางกรรไกร เห็นโทษเห็นภัยกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์ก็รับสั่งว่า “เอ้อ เราก็เสียดาย แต่มานี้หลักธรรมชาติ คือความชั่วของตัวเองนั้นแหละเป็นไปเอง ไม่มีใครที่ควรจะไปตำหนิเขา กรรมของตัวเองทำ แล้วก็จะบังคับตัวเอง นี่จะมาหาเราตถาคตนี้ มาถึงเพียงหน้าวัดเท่านั้น ไม่เข้าถึงเราก็จะถูกแผ่นดินสูบ” ท่านว่าอย่างนั้น แล้วเทวทัตก็มาถึงนั่นจริงๆ หามกันมาลงที่สระหน้าวัด บรรดาลูกน้องทั้งหลายลงอาบน้ำ พระเทวทัตก็จมลงไป แล้วไม่ได้อะไรที่นี่จนตรอกเต็มที่แล้ว ว่าจะขอขมาโทษจะถวายบูชาด้วยความเห็นโทษของตัวเองก็ไม่ทัน

พอแผ่นดินสูบลงไปถึงคางกรรไกร เลยขอถวายคางกรรไกรเป็นวาระสุดท้ายแล้ว เห็นโทษตัวเองอย่างเต็มเหนี่ยว แล้วยกพระพุทธเจ้าขึ้นเป็นคุณอย่างสุดยอด ขอถวายคางกรรไกรนี้เป็นพุทธบูชาแก่พระองค์ แล้วก็จมลงไป พระพุทธเจ้าก็ทรงยิ้มละที่นี่ เอ้อ ไม่มีทางตำหนิแหละ ท่านว่าอย่างนั้น กรรมชั่วก็พาให้คนชั่วดังที่เทวทัตเป็นอยู่นี้ที่เขาถูกแผ่นดินสูบ นี้คือกรรมชั่วของเขาทั้งนั้น

นี่ละพระเทวทัตท่านก็ยังเห็นภัย แล้วท่านได้สนองคุณแห่งความดีของตัวเอง จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไอ้เราที่ความผิดความพลาดถ้าเห็นโทษมันก็ผ่านไปได้ ชะล้างกันไปได้ นี้เป็นอย่างไรในเมืองไทยเราปกครองกันแบบไหน ยังจะหาว่าแต่หลวงตาบัวนี้มาเล่นการบ้านการเมือง การบ้านการเมืองขี้หมาอะไร มีแต่มูตรแต่คูถเต็มบ้านเต็มเมือง เราเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาชะมาล้างให้รู้เนื้อรู้ตัว รู้ผิดรู้ถูก ในฐานะที่ว่าเราเป็นถึงรัฐบาล พวกนี้โลกเขายกยอให้ว่าเป็นคนฉลาด แต่อย่าฉลาดลงส้วมลงถาน อย่าฉลาดเอาไฟมาเผาหัวคนทั้งประเทศ”

Free Web Hosting